Sunday, 29 December 2013
10 อย่างในอนาคตที่กำลังจะหายไป
10. ความไม่ปลอดภัย
ต่อไปเราจะไม่มีอุบัติเหตุบนถนน เพราะยานพาหนะจะสามารถสื่อสารกันได้และหลีกเลี่ยงการปะทะกันได้การโจรกรรมจะสิ้นสุดลง เพราะของมีค่าทุกอย่างจะถูกติดตั้งเครื่องมือติดตามตัว ซึ่งจะมีขนาดเท่ากับอนุภาคเล็กๆที่สามารถใส่ไว้กับวัสดุใดก็ได้
9. สมาร์ทโฟน
เทคโนโลยีทุกวันนี้มีอายุสั้น สมาร์ทโฟนเองก็จะกลายเป็นเทคโนโลยีล้าสมัยในอนาคตอันใกล้เช่นกัน เทคโนโลยีในยุคต่อไปจะเป็นเทคโนโลยีที่สามารถสวมใส่ได้ เช่นที่เราได้เห็นกันเมื่อไม่นานที่ผ่านมา คือ Google glasses ยิ่งไปกว่านั้นเราเตรียมบอกลาคีย์บอร์ดหรือเม้าส์ไปได้เลย นักอนาคตได้คาดการณ์ไว้ถึงเทคโนโลยีที่จะเป็นที่นิยมในอนาคต คือ Intelligent Web (2017 – 2020), Intelligent Interface และ Virtual Reality (2019 – 2023), Thought power และ AI หรือ Artificial Intelligence (2024 – 2031)
8. ประสบการณ์แบบดั้งเดิมของมนุษย์
ในอนาคตจะไม่มีคำว่า “ข้อมูลส่วนบุคคล” เพราะข้อมูลของเราทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นวันเดือนปีเกิด ประวัติการศึกษาหมายเลขบัตรเครดิต ประวัติการรักษาพยาบาล จะถูกบันทึกและบุคคลอื่นๆ จะสามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ต่อไป เราจะขาด “การไตร่ตรอง” เพราะสมาร์ทโฟนและเทคโนโลยีการสื่อสารอื่นๆ ทำให้เราสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ทุกที่ทุกเวลา นอกจากนั้น เทคโนโลยีในอนาคตจะสามารถตรวจรับการรับรู้ต่างๆ ของร่างกายเราได้ เช่น จังหวะการเต้นของหัวใจระหว่างการออกกำลังกาย และคอยให้คำแนะนำว่าเราควรจะหยุดหรือเร่งการออกกำลังกายเทคโนโลยีเหล่านี้จะทำให้เราไม่มีโอกาสที่จะครุ่นคิดและสื่อสารกับร่างกายของเรา “การรอคอย” จะกลายเป็นสิ่งที่เราไม่คุ้นเคย เพราะทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นการฝาก-ถอนเงิน สั่งอาหารจองบัตรโดยสารต่างๆ สามารถทำได้ทันทีผ่านระบบคอมพิวเตอร์ และ เทคโนโลยียังสามารถบอกเราได้อีกว่า ขณะนี้ที่สนามบินมีผู้โดยสารมากน้อยแค่ไหนและเราควรมาถึงสนามบินเวลาใดเพื่อหลีกเลี่ยงการรอคอย นอกจากนั้นเราก็จะไม่ “หลงทาง” เพราะเทคโนโลยีจะคอยบอกตำแหน่งของเราและแนะนำเส้นทางได้อยู่ตลอดเวลา
7. กระดาษ
นอกจากหนังสือพิมพ์ นิตยสาร และเอกสารต่างๆ ที่พิมพ์ลงบนกระดาษจะหายไปแล้ว ธนบัตรก็จะหายไปด้วย ทุกอย่างจะอยู่ในรูปแบบดิจิตอล โรงพิมพ์จำนวนมากต้องปิดกิจการหนังสือที่เป็นรูปเล่มพิมพ์บนกระดาษแม้จะไม่หายสาบสูญไปโดยสิ้นเชิง แต่ที่จะพบได้จะเป็นหนังสือที่พิมพ์โดย Self-Publishing หรือการจัดพิมพ์ด้วยตนเอง
6. หมอ
ในปี 2030 เทคโนโลยีจะทำให้การตรวจวินิจฉัยโรคบางอย่างสามารถทำได้เองที่บ้านของคุณ สมาร์ทโฟนและเทคโนโลยี Cloud computing จะสามารถตรวจระดับน้ำตาลระดับออกซิเจน ระดับการเต้นของหัวใจ และอื่นๆ ได้ หุ่นยนต์จะเข้ามาแทนที่แพทย์ผ่าตัด แพทย์จะมีจำนวนน้อยลงและจะต้องเป็นแพทย์ที่มีความสามารถสูงเท่านั้น พวกเขาจะสามารถปฏิบัติงานได้จากทุกแห่งทั่วโลกผ่านระบบควบคุมทางไกล จะมีเพียงบุคคลสำคัญๆ หรือผู้ที่มีความสามารถทางการเงินสูงที่ได้รับสิทธิพิเศษในการรับการรักษาจากแพทย์จริงๆ
5. ร้านค้า
ห้างร้านต่างๆ ในปี 2030 จะไม่ใช่ห้างร้านในรูปแบบที่เรารู้จักอีกต่อไป ผู้บริโภคจะใช้อินเตอร์เน็ตในการศึกษาคุณสมบัติ ความสามารถ และราคาของสินค้า จากนั้นก็แวะไปที่ห้างร้านเพื่อทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ซึ่งจะมีเพียงหุ่นยนต์คอยให้บริการ และตอบคำถามพื้นฐานของผู้ที่สนใจ จากนั้นผู้บริโภคก็จะสั่งซื้อสินค้าผ่านระบบออนไลน์ เมื่อพวกเขากลับถึงบ้าน ก็จะพบกับสินค้าที่เพิ่งสั่งไว้ตั้งรออยู่ที่หน้าประตู
4. งาน
ในปี ค.ศ. 2030 งานกว่า 2 พันล้านตำแหน่งจะหายสาบสูญไป เทคโนโลยีที่เป็นปัจจัยสำคัญคือ เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต เทคโนโลยีหุ่นยนต์ เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ เทคโนโลยีการจัดแต่งพันธุกรรม และอื่นๆ อย่างไรก็ตามแม้เทคโนโลยีเหล่านี้จะทำลายงานแบบดั้งเดิม ขณะเดียวกันก็สร้างงานรูปแบบใหม่ๆ ที่เราอาจจะคิดไม่ถึงขึ้นเช่นกัน
3. รูปแบบของสหภาพยุโรป
ความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจและการค้าในประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรปจะแตกต่างไป โดยข้อจำกัดต่างๆ จะถูกทำลายลงและจะมีการปกครองแบบรัฐบาลเดียว สหภาพยุโรปจะกลายเป็นสหรัฐยุโรป (United Europe)และพูดภาษาเดียวกัน
2. ระบบการศึกษาในปัจจุบัน
เทคโนโลยีจะลบล้างระบบการศึกษาที่แบ่งกลุ่มนักเรียนตามอายุการเลื่อนระดับชั้นเรียนจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการเรียนรู้ของแต่ละบุคคล นักเรียนจะมีโอกาสในการค้นพบและเลือกสาขาความเชี่ยวชาญได้เร็วขึ้น (เช่นเดียวกับนักกรีฑาในปัจจุบัน ที่นักกรีฑาสามารถเลือกสาขากีฬาที่ตนชอบได้ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก) แม้ว่า การเปลี่ยนแปลงนี้อาจจะฟังดูดี แต่สิ่งที่ต้องระวังคือ บริษัทผู้นำด้านโทรคมนาคมบางแห่งอาจจะกลายเป็นผู้ควบคุมการศึกษาของคนในอนาคต เพราะพวกเขามีเครื่องมือสื่อสารทั้งหมดอยู่ในมือ
1. ความเหลื่อมล้ำทางวัฒนธรรม ภาษา และการศึกษา
สมาร์ทโฟนทำให้คนรุ่นใหม่ในปี ค.ศ. 2020 สามารถเข้าถึงข้อ้อมูลข่าวสารได้จากทั่วโลกอย่างทั่วถึง ซึ่งเป็นการศึกษาที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาครูผู้สอน เยาวชนในยุคนั้นจะใช้ภาษาของประเทศที่พัฒนาแล้วเป็นหลัก เช่น ภาษาอังกฤษและภาษาจีน และจะซึมซับวัตนธรรมที่คล้ายคลึงกัน ทำให้ความเหลื่อมล้ำต่างๆ หายไป แต่ในข้อดีก็มีข้อเสียปนอยู่ นั่นคือ ในปี 2030 ภาษาจำนวน 3 พัน ภาษาจากที่มีอยู่ทั้งหมดในปัจจุบัน 6 พันภาษาจะหายสาบสูญไป รวมถึงคนรุ่นต่อๆ ไปอาจจะไม่มีความเข้าใจและความอดในความแตกต่างด้านวัฒนธรรม
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment